ศษ 433 ยุทธศาสตร์การจัดการความรู้
ED 433 Strategies for Knowledge Management
คำอธิบายรายวิชา
ศึกษานัยสำคัญของสังคมที่มีความรู้เป็นพื้นฐาน (Knowledge-Based Society) การเชื่อมโยงความรู้กับการปฏิบัติและการดำรงชีวิต การตัดสินใจ โดยอาศัยฐานความรู้และภูมิปัญญา การจัดระบบความรู้ การบริหารจัดการความรู้ และการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ เพื่อให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิต รวมทั้งการกำหนดยุทธศาสตร์การจัดการความรู้
จุดมุ่งหมายรายวิชา
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องการบริหารการจัดการความรู้ การสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ การกำหนดยุทธศาสตร์การจัดการความรู้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเชื่อมโยงความรู้กับการปฏิบัติและการดำรงชีวิต
ความรู้ คือ สิ่งที่ใช้อธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็นได้อย่างมีเหตุผล โดยอาศัยข้อมูล ทักษะและประสบการณ์ที่มีอยู่เป็นส่วนสนับสนุนการตัดสินใจ
บริหารการจัดการความรู้ คือ ระบบบริหารจัดการความรู้ให้เป็นระเบียบ ครบถ้วน ง่ายต่อการเรียกใช้ จัดเก็บตามความต้องการ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการจัดการ ความรู้ที่ได้รับการจัดการอย่างเป็นระบบนี้จะคงอยู่เป็นความรู้ขององค์กรตลอดไป และจะเกิดประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน
หากจำแนกระดับของความรู้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ คือ
1.ความรู้เชิงทฤษฏี (Know-What) เป็นความรู้เชิงข้อเท็จจริง รู้อะไร เป็นอะไร จะพบในผู้ที่สำเร็จการศึกษามาใหม่ๆ ที่มีความรู้โดยเฉพาะความรู้ที่จำมาได้จากความรู้ชัดแจ้งซึ่งได้จากการได้เรียนมาก แต่เวลาทำงาน ก็จะไม่มั่นใจ มักจะปรึกษารุ่นพี่ก่อน
2.ความรู้เชิงทฤษฏีและเชิงบริบท (Know-How) เป็นความรู้เชื่อมโยงกับโลกของความเป็นจริง ภายใต้สภาพความเป็นจริงที่ซับซ้อนสามารถนำเอาความรู้ชัดแจ้งที่ได้มาประยุกต์ใช้ตามบริบทของตนเองได้ มักพบในคนที่ทำงานไปหลายๆปี จนเกิดความรู้ฝังลึกที่เป็นทักษะหรือประสบการณ์มากขึ้น
3.ความรู้ในระดับที่อธิบายเหตุผล (Know-Why) เป็นความรู้เชิงเหตุผลระหว่างเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆผลของประสบการณ์แก้ปัญหาที่ซับซ้อน และนำประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่น เป็นผู้ทำงานมาระยะหนึ่งแล้วเกิดความรู้ฝังลึก สามารถอดความรู้ฝังลึกของตนเองมาแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นหรือถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้พร้อมทั้งรับเอาความรู้จากผู้อื่นไปปรับใช้ในบริบทของตนเองได้
4.ความรู้ในระดับคุณค่า ความเชื่อ (Care-Why) เป็นความรู้ในลักษณะของความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ที่ขับดันมาจากภายในตนเองจะเป็นผู้ที่สามารถสกัด ประมวล วิเคราะห์ความรู้ที่ตนเองมีอยู่ กับความรู้ที่ตนเองได้รับมาสร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาได้ เช่น สร้างตัวแบบหรือทฤษฏีใหม่หรือนวัตกรรม ขึ้นมาใช้ในการทำ
ขั้นตอนการจัดการความรู้
1. การสำรวจความรู้ภายในองค์กรและนอกองค์กร
2. การรวบรวมและการจัดเก็บ
3. การพัฒนาความรู้
4. การถ่ายทอดความรู้ หรือการแบ่งปันความรู้
กระบวนการจัดการความรู้ (Knowledge Management Process)
กระบวนการในการจัดการความรู้เป็นส่วนสําคัญที่ทําให้เกิดRight Knowledge, Right People, Right Time ซึ่งมีขั้นตอนในกระบวนการจัดการความรู้ ดังนี้
1. การบ่งชี้ความรู้ที่จําเป็นต้องมี (KnowledgeIdentification)
- ศึกษาวิสัยทัศน์ พันธกิจ และเป้าหมายขององค์กร เพื่อสร้างความเข้าใจให้ไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้คนในองค์กรดําเนินการบริหารจัดการความรู้ไปในทิศทางเดียวกัน
- วิเคราะห์รูปแบบและแหล่งความรู้ที่มีอยู่เพื่อใช้ความรู้นั้นในการดําเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย พันธกิจ และวิสัยทัศน์ขององค์กร
- ประเมินระดับความรู้ที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าภายในองค์กรมีความรู้อยู่ในรูปแบบใด
2. การสร้างและแสวงหาความรู้ (KnowledgeCreation and Acquisition)
- สร้างและแสวงหาความรู้จากแหล่งต่างๆ ที่กระจัดกระจายทั้งภายใน/ภายนอก เพื่อจัดทําเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการ
3. การจัดความรู้ให้เป็นระบบ (KnowledgeOrganization)
- จัดแบ่งชนิดและประเภทความรู้เพื่อจัดทําระบบให้ง่ายและสะดวกต่อการค้นหาและใช้งาน
4. การประมวลและกลั่นกลองความรู้ (KnowledgeCodification and Refinement)
- จัดรูปแบบและ“ภาษา” เอกสารที่มาจากแหล่งต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปแบบมาตรฐานเดียวกันทั้งองค์กร
- เรียบเรียงปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยและตรงกับความต้องการ
5. การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Access)
- ความสามารถในการเข้าถึงความรู้ได้ทุกเวลาและทุกสถานที่(Everytime Everywhere) อย่างสะดวก รวดเร็ว ในเวลาที่ต้องการ
6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ (KnowledgeSharing)
- การแลกเปลี่ยนความรู้ถ่ายทอดเป็นลายลักษณ์อักษร(Tacit Knowledge สู่Explicit Knowledge)
- การถ่ายทอดความรู้จากคนสู่คน(Tacit Knowledge สู่ Tacit Knowledge) เช่น การสับเปลี่ยนงาน (Job Rotation) เพื่อเรียนรู้งานอื่นๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากงานที่เคยทํา
7. การเรียนรู้ (Learning)
- นําความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาและปรับปรุงองค์กร
ดังนั้นแต่ละองค์กรสามารถเลือกขั้นตอนกระบวนการให้เหมาะสมกับองค์กรของตน เนื่องจากความพร้อมของแต่ละองค์กรไม่เหมือนกัน โดยวิเคราะห์ว่าองค์กรของตนมีขั้นตอนใดที่ยังขาดอยู่มีขั้นตอนใดที่เป็นส่วนสําคัญก็นํามาเป็น Model หลักของตน เพื่อทําให้กระบวนการจัดการความรู้ขององค์กรเป็นระบบและถูกส่งแทรกซึมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทํางานประจํา
หัวใจของการจัดการความรู้
มีผู้รู้ได้กล่าวถึง KM หลายแง่หลายมุมที่อาจรวบรวมมาชี้ธงคำตอบว่า หัวใจของ KM อยู่ที่ไหนได้ โดยอาจกล่าวเป็นลำดับขั้นหัวใจของ KM เหมือนกับลำดับขั้นของความต้องการ ( Hierarchy of needs ) ของ Mcgregor ได้ โดยเริ่มจากข้อสมมุติฐานแรกที่เป็นสากลที่ยอมรับทั่วไปว่าความรู้คือพลัง (DOPA KM Team)
1. Knowledge is Power : ความรู้คือพลัง
2. Successful knowledge transfer involves neither computers nor document but rather in interactions between people. (Thomas H Davenport) : ความสำเร็จของการถ่ายทอดความรู้ไม่ใช่อยู่ที่คอมพิวเตอร์หรือเอกสาร แต่อยู่ที่การมีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างคนด้วยกัน
3. The great end of knowledge is not knowledge but action : จุดหมายปลายทางสำคัญ ของความรู้มิใช่ที่ตัวความรู้ แต่อยู่ที่การนำไปปฏิบัติ
4. Now the definition of a manager is somebody who makes knowledge productive : นิยามใหม่ของผู้จัดการ คือ ผู้ซึ่งทำให้ความรู้ผลิตดอกออกผล
จะเห็นว่า จากข้อความที่กล่าวถึง ความรู้ดังกล่าว พอทำให้มองเห็นหัวใจของ KM เป็นลำดับชั้นมาเริ่มแต่ข้อความแรกที่ว่า ความรู้คือพลังหรือความรู้คืออำนาจ ซึ่งเป็นข้อความเป็นที่ยอมรับที่เป็นสากล ทั้งภาคธุรกิจ เอกชน และภาคราชการ จากการยอมรับดังกล่าวมาสู่การเน้นที่ปฏิสัมพันธ์ของคนว่ามีความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้กว่าเครื่องมือหรือเอกสารใดและมักกล่าวถึงว่า แม้ความรู้จะถูกจัดระบบและง่ายต่อการเข้าถึงของบุคคล ต่าง ๆ ดีเพียงใดก็ตาม ถ้ามีความรู้ เกิดความรู้ขึ้นแล้ว หากไม่นำไปใช้ประโยชน์ ก็ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของ ความรู้และที่ชัดเจนก็คือ ประโยคสุดท้ายที่เน้นการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ให้เกิดมรรคผลมีคุณค่าประโยชน์เป็นรูปธรรมว่านั่นเป็นนิยามใหม่ของผู้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการเลยทีเดียว ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าหัวใจของ KM อยู่ที่การนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม
ประโยชน์ของการบริหารจัดการความรู้
การจัดการความรู้ทีดีจะช่วยให้องค์กร
1. ปรับปรุงประสิทธิภาพ และเพิ่มผลผลิต ให้กับทุกภาคส่วนขององค์กร
2. สร้างนวัตกรรมและการเรียนรู้ รวมถึงการส่งเสริมให้แสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยน ความรู้ได้อย่างเต็มที่
3. เพิ่มคุณภาพและลดรอบเวลาในการให้บริการ
4. ลดค่าใช้จ่าย โดยกําจัดกระบวนการที่ไม่สร้างคุณค่าให้กับงาน
5. ให้ความสําคัญกับความรู้ของพนักงานและให้ค่าตอบแทนและรางวัลที่เหมาะสม
TPR = กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ
การจัดการความรู้ในโรงเรียน
- ภาวะผู้นำ
- การบริหารการจัดการ
- การจัดองค์กร
- วิสัยทัศน์ / พันธกิจ
- แผนงาน สารสนเทศ
- โครงการ
- ฯลฯ
- Micro
- แผนการสอน
- วิธีสอน / กิจกรรม
- กิจกรรมเสริมหลักสูตร
- เกม
- โครงงาน
- นิทรรศการ
- ฯลฯ
AIM= เป้าหมาย
ADAP= ประยุกต์ ปรับปรุงพัฒนา
Acheap ment
จุดประสงค์การเรียนรู้
- 1. เรียนรู้เกี่ยวกับทฤษฎี
-
2. ริเริ่มการเรียนรู้
3. รับวัฒนธรรมการเรียนรู้และการตัดสินใจ
4. เร่งรัดการจัดระบบและการบริการ
5. ร่วมมือ
- Active Learning
กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ลงมือกระทำและได้ใช้กระบวน การคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้กระทำลงไป (ไปลงภาคสนาม)- Concept Mapping Learning
การเรียนรู้แบบแผนผังความคิด คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนออกแบบแผนผังความคิด เพื่อนำเสนอความคิดรวบยอด- Brain Based Learning
การใช้ความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับสมองเป็นเครื่องมือในการออกแบบ กระบวนการเรียนรู้และกระบวนการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดในการเรียนรู้ของมนุษย์- Field Based Learning
การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน ห้องสมุด หรือห้องคอมพิวเตอร์
จิตนาการสำคัญกว่าความรู้ – อัลเบิร์ต ไอสไตล์
early bird get warm – นกหากินแต่เช้าย่อมจับหนอนได้ก่อน
ไม่มีเงิน ไม่มีแผน – No money No plan
รูปแบบของการเรียนรู้
ระดับที่ 1 เรียนรู้ข้อเท็จจริง (Learning to be facts)
ระดับที่ 2 การเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะ (Learning to be skill)
ระดับที่ 3 การเรียนรู้เพื่อปรับปรุง (Learning to be adapt)
ระดับที่ 4 การเรียนรู้เพื่อเรียนรู้ (Learning to be learn)
มาตรฐานความรู้วิชาชีพครู
มาตรฐานที่ 1 ภาษาและเทคโนโลยี
คือ ครูจะต้องให้ภาษาที่มีความถูกต้อง พูดชัดเจน สามารถสื่อสารให้กับนั้นเรียนเข้าใจได้ง่าย สามารถใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบในการเรียนการสอน
มาตรฐานที่ 2 การพัฒนาหลักสูตร
คือ สถานศึกษาจะต้องมีเป้าหมายเป็นของตนเองที่จะเป็นจุดยืนในจัดแนวทางการจัดการเรียนรู้ของครูในโรงเรียน
มาตรฐานที่ 3 การจัดการเรียนเรียนรู้
คือ ครุจะต้องจัดการเรียนรู้ให้ตรงกับเป้าหายของสถานศึกษาและเพื่อให้นักเรียนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มตามศักยภาพ
มาตรฐานที่ 4 จิตวิทยาสำหรับครู
คือ ครูจะต้องเข้าใจว่านักเรียนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน มีวิธิการเรียนเรียนรู้ที่ต่างกันเพราะบางคนอาจจะเข้าใจเมื่อครูอธิบาย แต่บางคนอาจจะเข้าใจเมื่อได้ลงมือปฏิบัติจริง เป็นต้น
มาตรฐานที่ 5 การวัดละประเมินผลการศึกษา
คือ ครูจะต้องใช้วิธีการวัดและประเมินผลด้วยวิธีและเครื่องมือที่หลากหลาย และตลอดระยะเวลาที่มีการเรียนการสอนเพื่อที่ใจให้นักเรียนไม่ต้องตึงเครียดเวลาสอบปลายภาค หรือกลางภาคเพียงอย่างเดียว
มาตรฐานที่ 6 การบริหารจัดการในห้องเรียน
คือ ครูจะต้องจัดสถานที่ให้เหมาะสม ไม่ร้อน หรือเย็นจนเกินไป บางรายวิชาควรที่จะมีการเรียน รู้เป็นรายกลุ่ม วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนการสอนต้องเพียงพอ เป็นต้น
มาตรฐานที่ 7 การวิจัยทางการศึกษา
คือ ครูจะต้องมีการทำวิจัยในชั้นเรียนเพื่อที่จะเป็นการพัฒนาการเรียนการสอนหรือเป็นการหาทาง แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในชั้นเรียน
มาตรฐานที่ 8 นวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
คือ ครูจะต้องมีการทำสื่อเพื่อใช่เป้ฯส่วนหนึ่งในกรเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนสามารถเข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น
มาตรฐานที่ 9 ความเป็นครู
คือ พื้นฐานของความเป็นครูนั้นจะต้องมีความรู้ และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียนได้
จากมาตรฐานต่างๆเหล่านี้ครูแต่ละคนจะมีประสบการณ์ ความรู้ และการปฏิบัติตนที่แตกต่างกัน ทำให้ครูแต่ละคนในโรงเรียนจึงมีความสามารถหรือความถนัดที่แตกต่างกันด้วย บางคนอาจจะเด่นในบางมาตรฐานที่แตกต่างกัน ซึ่งความสามารถเหล่านี้จะนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันและกัน ทั้งระหว่างครูกับครู และครูกับผู้บริหาร นั้นเอง เมื่อเกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ อาจจะเกิดจากการประชุมร่วมกันระหว่างบุคลากรภายในสถานศึกษา ว่าการจัดการเรียนการสอนมีปัญหาในส่วนใด อุปกรณ์หรือสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนเพียงพอหรือไม่ ทางผู้บริหารก็จะมีการนำไปปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้น เมื่อมีการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ ความรู้และการปฏิบัติตนกันแล้ว จึงเกิดเป็นความรู้ขององค์กรหรือสถานศึกษา
- กุญแจสู่ความสำเร็จของ KM
วัฒนธรรมองค์กร
ระบบการจัดการ กลยุทธ์และการปฏิบัติการ
ทรัพยากร
ทีมงาน
ประชามติ
ผู้นำ เช่น ในโรงเรียนผู้อำนวยการเป็นผู้กำหนดนโยบาย
ผู้นำ หมายถึง ผู้ริเริ่ม เริ่มต้นในการกำหนด ทุกคนสามารถเป็นผู้นำได้ เช่น นักเรียน คุณครู
วัฒนธรรมองค์กร เปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็ง คือ ส่วนที่มองเห็นและมองไม่เห็น ส่วนที่มองเห็น = กิจกรรม,การจัดการ
ส่วนที่มองไม่เห็น = ความเชื่อ,ความศรัทธา
ระบบการจัดการ เช่น คอมพิวเตอร์ เอกสาร ทรัพยากรในระบบเพื่อการจัดการ
ประชามติ หมายถึง ความเห็นพ้อง การยอมรับร่วมกัน
ปัจจัยในการจัดการกลยุทธ์และปฏิบัติการ 4M
- Money (เงิน)
- Men (บุคลากร)
- Manage (การจัดการ)
- Material (วัสดุอุปกรณ์)
- Motivation (แรงบันดาลใจ)
- Method (แผนการ)
- Multimedia
- Message (การสื่อสาร)
- Map (แผนที่)
- Memory (การจดจำ)
- Move (การเปลี่ยนแปลง,การเคลื่อนไหว)
- Moral (คุณธรรม,จริยธรรม)
- Minute (เวลา,การบริหารเวลา)
- การสร้างอารมณ์ขันของครู
กิจกรรม เช่น
- เพลง
- การเล่าเรื่อง
- เกม
- สำนวน, สุภาษิต
- ภาพยนตร์, ดนตรี
ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้สามารถสอดแทรกเข้าไปในเนื้อหาของบทเรียนได้
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ